temp_logo

Thumbsup จัดงาน Start it up , Power it up !

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ( 29/07/2012 ) ผมได้มีโอกาสไปงานที่ทาง Thumbsup จัดขึ้นครั้งแรกที่ Hubba  ซึ่งเป็นงานแบบปิดต้องลงทะเบียนจองที่นั่งก่อน ครับแต่ผมไม่ทราบเลย นึกว่าเป็นงานแบบเปิดก็ไปโดยไม่รู้ จึงต้องรอให้ผู้ลงทะเบียนมากันก่อนผมจึงลงทะเบียนได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะ มันเป็นความผิดของผมเองที่ไม่ได้อ่านให้ละเอียดด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้คนได้เป็นอย่างนี้ เพราะเปิดให้ลงทะเบียนเพียง 4 ชั่วโมงที่นั่งก็ถูกจองจนเต็มเลยทีเดียว ! โดยตัวผมเองนั้นก็ร่วมงานอีกด้วยเย้ ! ซึ่งต้องบอกเลยว่างานนี้มีประโยชน์มากๆทั้งสำหรับคนที่อยากจะ Start up โปรเจคหรือแม้แต่คนที่มาฟังเฉยๆยังไม่ได้มีความคิดนี้เกิดขึ้นเลย เพราะว่า เทรนด์นี้จะต้องมาอีกแน่นอนภายใน 1 ถึง 2 ปีนี้ครับ

Thumbsup จัดงาน Start it up, Power it up!

Start it up, Power it up
Start it up, Power it up

กำหนดการต่างๆของงานผมคงจะไม่เขียนบอกนะครับ ท่านผู้อ่านสามารถดูได้ที่นี่เลยครับ รายละเอียด start it up, power it up ในบทความผมนี้ผมจะมาบอกเล่าว่าผมได้ประโยชน์อะไร หรือคำพูดที่วิทยากรพูดนั้นมีความน่าสนใจตรงไหนอย่างไรบ้าง เอาล่ะเราไปดูกันเลยดีกว่า Go Go Go ~

Hubba
Hubba

ช่วงที่ 1 เปิดตัว เปิดงาน

เป็นการพูดถึงเรื่อง start up และพูดถึงว่า Thumbsup นั้นก็ได้ก้าวมาจากการเป็น start up เช่นกัน โดยมีการเขียนข่าวที่น่าสนใจ เล่นข่าวที่เป็นประโยชน์ทั้งในและนอกต่างประเทศ ณ ตอนนี้นั้นทาง Thumbsup นั้นต้องเรียกได้ว่าเข้าถึงทุก Device เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น web, app, TV โดยช่องทาง TV นั้นได้รับความร่วมมือจาก springnews ( ซึ่งผมารู้ทีหลังว่าตัว spring news นั้นก็เป็น start up ทาง tv กลายๆ ) ซึ่งออกในชื่อรายการ Thailand can do ( ใครสนใจคลิก link ไปอ่านต่อเลยจ้า ) และได้ก้าวหน้าจนตอนนี้ได้มีการเป็น partner ship กับ techinasia และ e27 ซึ่งทั้งสองเว็บนั้นเป็นเว็บไซร์ที่กำลังมาแรงทั้งคู่ต้องขอปรบมือให้ดังๆ ให้กับ thumbsup ที่มาได้ขนาดนี้จริงๆ และนอกจากนี้ยังเป็นผู้สนับสนุนงาน Event ใหญ่ๆด้าน IT ที่มีจัดกันมาไม่นานหลายงานอีกด้วย

thumbsup เปิดงาน
thumbsup เปิดงาน

ช่วงที่ 2 สนทนาในหัวข้อ “Startup ไทยจะก้าวไกลระดับโลกได้อย่างไร” โดย @chyutopia @mimee

ในหัวข้อนี้มีแขกรับเชิญ 3 ท่านซึ่งเป็นมีประสบการณ์ด้าน start up และบางคนเป็น Investor  อีกด้วยโดยแขกทั้ง 3 ท่านมีดังนี้

  • Dr.Jay Jootar (Founder and CEO, The VC Group) ( ขอเรียกว่าคุณ J แล้วกันนะครับ )
  • Mr. Kanadej Thamanoonragsa (Fund Manager of Shinapanja Corp.) ( ขอเรียกว่าคุณ Arm  แล้วกันนะครับ )
  • Mr.Patai Padungtin (Principal Evangelist from Builk Asia) ( คุณไผท หรือพี่โบ๊ท เจ้าเก่าเจ้าของคำฮิต Passion ตบเข่าฉาด ! )

พิธีกรถาม: ทำไม Tech Start up ในประเทศไทยนั้นถึงไม่เติบโต ?

คุณ J : บอกว่าคนจะเป็น Start up นั้นจะต้องมี 3 อย่างนั้นนั่นคือ

  1. ความรู้ความเข้าใจ Technology
  2. การเอา Product ไปขยายต่อได้ หรือเอาไปสร้างธุรกิจต่อ
  3. นักลงทุน

ในข้อแรกนั้นคุณ J บอกว่าคนไทยมีเยอะ เก่งเยอะอีกด้วย แต่ … ด้านอื่นๆยังขาด เช่น ทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่นั้นถ้าไม่โดนซื้อตัวไปบริษัทใหญ่ๆ ก็ไปเป็นราชการกันหมด ( เพราะว่ามันสบายไงครับ อันนี้ผมคิด ) มีเรื่อง ใต้โต๊ะ และเรื่อง ผิดลิขสิทธิ์ ( อูยย …. แต่ละเรื่อง ) ติดใช้แบนด์นอก มีความรู้สึกว่าแบนด์คนไทยต่ำกว่า ( ทั้งๆที่ในความเป็นจริงนั้นคนไทยเราทำได้ตรงจุดมากกว่า อย่างวงในในบทความที่แล้วที่กล่าวไป ) 

ส่วนเรื่อง skill อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการ Start up นั้นในเมืองนอกจะเป็นการถ่ายทอดจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ไม่ได้มีโรงเรียนเปิดสอน พวก skill ( การขาย, การตลาด, tech ด้านอื่น ) ซึ่งเมืองไทยมีไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จ ถ้ายกตัวอย่างก็พี่ไผทจาก Builk.com เนี้ยแหละ

ปัญหาเรื่องแนวคิดด้าน PlatForm ถ้ายกตัวอย่างก็เช่น สมมติคุณเป็น Freelancer แล้วทำเว็บให้ลูกค้า ทำบ่อยๆแต่คุณต้องมาเริ่มใหม่ตลอด 1 project = 1 website ตลอดไม่มีการคิดว่าทำอย่างไรจะสามารถจัดการให้มันเร็วกว่านี้โดยเป็น Platform มาแล้วลูกค้าคลิกๆเลือกเลยจบ เป็นต้น

คุณ Arm: คนไทยเก่ง ( ยังคงยืนยันคำเดิม ) แต่ปัญหาคือ แหล่งเงินทุน เราไม่รู้ว่าจะหาเงินจากไหน ? คุณจะกู้ธนาคารและเล่าความฝัน Start up ให้ธนาคารฟังมันก็ไม่เหมือนเล่าให้ VC หรือ Angel ฟังหรอกครับ เขาบอกว่ามีใครเคยบอกว่าถ้าจะคุยกับธนาคารมีกฎคือ No Land No Lone เพราะฉะนั้นความฝันของคุณอาจจะถูกปฎิเสธได้อย่างง่ายดาย

และยังขาดคนที่จะเป็นคนปลุกปั้นให้คำปรึกษา ไม่ใช่ว่าให้แต่เงินไม่ช่วยอะไร ซึ่งในจุดนี้หลายๆคนยังคงเข้าใจว่า VC/Angel จะให้แค่เงินซึ่งความจริงนั้นไม่ใช่อย่างที่เคยกล่าวไปแล้วว่า ทางเขาจะมีคนให้คำปรึกษาเราอีกด้วยว่าจะขยายได้อย่างไร ไปข้างหน้าได้ก้าวไกลกว่าเดิมได้อย่างไร

คุณพี่ไผท: เราอยู่สบายกันจนชิน ( แค่คำแรกก็เหมือนโดนไอ้ไม้หน้า 3 ตีแสกหน้าเลย ) เรามักจะมองตลาดแค่ประเทศไทยและ Happy กับคำว่า 70 ล้านคนซึ่งชาวบ้านที่อยู่แค่ Asia เขามองตลาด 500 ล้านคนนะครับ ให้เลิกคิดเกี่ยวกับกลุ่มภายในประเทศหันไปมองตลาดอื่นที่ใหญ่กว่ามีลู่ทางมากกว่า ศึกษาภาษาอังกฤษ ขอใส่ตัวเน้นๆเลย การที่เรามีภาษาไทยนั้นแค่เป็นกำแพงให้คนต่างประเทศเข้าถึงตลาดเรายาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราได้เปรียบอะไร

มองตลาดระดับ Region ( ภูมิภาค ) และเหมือนเดิมคือต้องมี Passion ( ตบเข่าฉาด ! )

hubba clock
hubba clock

พิธีกรถาม: Business อะไรที่ตอนนี้เหมาะกับคนไทย ?

คุณ J:

  • social media กำลังฮิตมาก ! แต่มีคนทำเยอะมาก เป็น Red ocean มีปัญหาเรื่อง Cash Flow
  • E-Commerce แต่ ณ ตอนนี้คนไทยยังคงใช้การซื้อของแบบเทียมอยู่คือตกลงกันในเน็ต แล้วโอนเงินผ่านธนาคาร
  • Software As A Service ซึ่ง Mobile, Tablet เข้าถึงได้ง่ายแล้วน่าทำ
  • VDO เป็น Content ใหม่แต่ทำได้ยาก copy ยากเหมือนกัน แต่มีอุปกรณ์ที่สามารถทำได้แล้วราคาไม่แพง
  • TV ( ระยะยาวมากๆ ) Device นั้นได้พัฒนาแล้วการมาของ TV ก็จะเป็น Business ที่เหมาะ
  • Energy ( ระยะยาวมากๆ ) น่าสนใจแต่คงต้องรออะไรๆมากกว่านี้
  • เรื่อง Device ผลิตออกมาแก้ปัญหาบ้างอย่าง ราคาถูกลงแล้วสำหรับวัสดุ มองเทรนด์ดีๆ ตัวอย่างเช่น Case Iphone ที่มีแบบเยอะเยะแบบกันกระแทก ฯลฯ

พิธีกรถาม: การเป็นเจ้าของ Business แล้วมี VC/Angel มาแบ่งสัดส่วนหุ้นไป มุมมองเป็นอย่างไร ?

คุณ Arm:

เขาสมมติเรื่องการปลุกส้ม ถ้าคุณมีความสามารถปลูกต้นส้มที่อร่อยมาก แต่ … คุณสามารถปลูกได้ทีละต้นเท่านั้น และ VC บอกว่าเขาจะมาช่วยทำให้การปลูกของคุณเป็นการปลูกระดับทำสวนส้มเลย ไม่ใช่แค่ปลูกทีละต้น VC/Angel ไม่ได้ต้องการมาแย่งความเป็นเจ้าของของคุณแต่มาช่วยเหลือคุณ นั่นเป็นอีกข้อดีที่ธนาคารไม่มีให้คุณ VC/Angel มีทั้งคนที่มีประสบการณ์บอกคุณได้ว่าต้องทำระดับน้ำเท่าไร ไร่หนึ่งควรจะปลูกกี่ต้น ซึ่งสิ่งพวกนี้คุณไม่ต้องไปเสียเวลาลองผิด ลองถูกเอง

พิธีกรถาม: คิดว่ามี VC ที่จะช่วยเราไประดับโลกได้ไหม ?

พี่ไผท: ภาพแรกนั้นต้องทำให้ธุรกิจของเรานั้นเป็นตัวดำ ( ไม่ใช่ตัวแดงนั่นหมายถึง ติดลบ ) มีภาพชัดเจนว่าเป้าหมายของเราเป็นอย่างไร และถ้ามี VC ที่ช่วยให้เราไปสู่เป้าหมายนั้นที่เราตั้งได้เร็วขึ้นก็น่าลอง

พิธีกรถาม: จุดเปลี่ยนเรื่อง VC ( สำหรับพี่ไผท )

พี่ไผท: อยากทำ Business ที่ scale ได้ ( รองรับการขยาย ) อยากเปลี่ยนแปลงวงการก่อสร้าง อยากทำให้พัฒนา อยากเห็นวงการไทยไประดับโลก เห็นโอกาสต่อยอดความฝัน

พิธีกรถาม: อยากฝากอะไรทิ้งท้ายไหมสำหรับทุกคนที่มาวันนี้ ?

พี่ไผท: Research เองพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ใน Internet มีของดีมากๆ ใครทำได้ดีไปดูว่าเขาทำอย่างไร Learning by Doing 

คุณ Arm:

Start up เป็นอะไรที่เหนื่อย แต่ … อย่าท้อครับ

คุณ J:

เรามี Skill กันอยู่แล้ว แต่อย่าลืมด้าน Business ด้วยแล้วกัน

พักเบรค
พักเบรค

เอาล่ะครับหลังจากจบช่วงนี้จะเป็นการพัก 15 นาที โดยครึ่งหลังจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องมุมมองของ VC จากสิงคโปร์ซึ่งมาจาก e27 และเป็นการแยกห้องเพื่อไปเรียนรู้อันที่ตัวเองสนใจ

เอาล่ะครับหลังจากที่เราพักหายใจหายคอกัน 15 นาที บ้างก็แลกเปลี่ยนความคิด บ้างก็ได้เจอเพื่อนใหม่ในวงการ start up เหมือนกัน มันทำให้สถานที่ Hubba เต็มไปด้วยความหวังและปลุกไฟ ให้แต่ละคนอย่างเห็นได้ชัดเจน เรียกได้ว่าการมางานครั้งนี้ของผมนั้นไม่เสียโอกาสเลยจริงๆ โดยของว่างพักเบรค ยังเป็นของ start up ที่เกี่ยวกับขนมเลยครับ

ฟันฟิซ
ฟันฟิซ

ขอบอกเลยว่าอร่อยมาก!! ยืนยันได้จาก อ. ศุภเดช ( @ripmilla ) เลยทีเดียว เอาล่ะงั้นเราไปเริ่มช่วง 3 กันต่อเลยเดี๋ยวเสียอารมณ์กันซะก่อน : )

ช่วงที่ 3 (แนะนำ e27 และสนทนาอัพเดตทิศทางล่าสุด startup ในภูมิภาคเอเชีย) โดย @chyutopia @mimee

ช่วงนี้ได้แขกรับเชิญที่บินจากสิงคโปร์โดยเป็นคนของ e27 ชื่อว่า Mr. Gabriel Yang โดยเป็น Section ภาษาอังกฤษ แล้วมีพิธีกรค่อนสรุปให้สำหรับคนที่ฟังอังกฤษไม่ออกถือว่าโชคดีมาก ( ไม่งั้นผมฟังไม่ทันจริงๆ )

Gabriel
Gabriel

โดยคุณ gabriel นั้นได้มาพูดถึง e27 ว่าทำอะไรบ้าง เติบโตมาได้อย่างไร โดยเริ่มจากการเขียนบล็อก คล้ายๆ Thumbsup นั้นแหละแล้วก็เริ่มเติบโตจนมองเห็นโอกาสที่จะจัดงาน event นั้นคือ Echelon ซึ่งเป็นเวทีให้กับ start up ได้มาแข่งขันและได้แลกเปลี่ยนความคิดของแต่ละคนกัน โดยคุณไผทก็ไปชนะในงานนี้ด้วย ( wow !! ) โดยเขาได้บอกว่าในช่วงแรกนั้นลำบากมาก สิ่งที่เขากินคือ … มันคล้ายๆกับหัวปลา คล้ายปลากระป๋องบ้านเราแหละ เขาบอกว่าเขาต้องกินอย่างนี้ไป 6 เดือน และในตอนนั้น ทางรัฐบาลของเขานั้นยังไม่มี eco system ที่จะมาช่วยเหลือเกี่ยวกับ start up ด้วย

gabriel talk to e27
gabriel talk to e27

โดยถามว่าท้อไหม เขาก็บอกว่าท้อนะ แต่ก็ยังทำต่อไม่ยอมแพ้ และเมื่อปี 2009 นั้นเขาได้เข้าร่วมจัดกิจกรรมกับพวกแบนด์ใหญ่ๆ จนปีต่อมาจึงจัดงาน Echelon นั่นเอง เขามองเห็นคนที่มีความสามารถเยอะมาก และเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่เป็นโอกาสของตัว e27 อีกด้วยที่จะก้าวไปสู่ระดับภูมิภาค ( Regional )  ข่าวที่เขาเขียนลงบล็อกตอนแรกๆนั้นเป็นเฉพาะกลุ่มมากๆ และถึงมีช่วงหลังๆนั้นเพิ่งจะมี ไต้หวันและญี่ปุ่นมาตามอ่านเหมือนกัน โดยงาน Echelon ปีที่จัดล่าสุดมีผู้มาร่วมงานประมาณ 1,000 คน ( ถือว่าเยอะมากๆนะครับ ) เพราะตัวเขาเองบอกว่าในปีแรกที่จัดนั้นมีแค่ 3 โปรเจคกับคนอีกประมาณ 50 คนเท่านั้นคุณคิดดูภายใน 2 – 3 ปีจัดงานใหญ่ได้

gabriel talk to e27
gabriel talk to e27

สิ่งที่เขามองเห็นและจุดประสงค์ของงานก็มีดังนี้

  • เป็นสถานที่ได้แลกเปลี่ยนไอเดีย เพราะไอเดียบางคนมันเจ๋งแต่ต้องให้คนอื่นช่วยปรับๆให้มันเข้าที่
  • บางคนที่ไอเดียเจ๋งแต่ยังนำเสนอไอเดียได้ไม่ดี งานนี้จึงเป็นดังเวทีให้มาเก็บเกี่ยวประสบการณ์
  • ได้เจอคนที่ start up เหมือนๆกัน

คำถามว่าทำไมเราถึงต้องไประดับภูมิภาค

  • เพราะเราได้เห็นการเติบโตที่สามารถไปสู่ระดับนั้นได้ เขาบอกว่าคนขายขนมปังปิ๊งยังไประดับนั้นได้เลยทำไมเราจะทำไม่ได้
  • เขาอยาก Giving Back คล้ายๆกับแบ่งปันสิ่งดีๆกลับคืนสู่สังคมบ้าง
  • ได้เดินทาง ( ฮา เหมือนจะพูดเล่นแต่นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุจริงๆนะเออ ! )

Q&A

ถาม: ในช่วง 6 เดือนที่ Fail นั้นมีการผลักดันตัวเองอย่างไรให้ผ่านจุดนั้นมาได้ ?
ตอบ: เขาบอกว่าทุกๆครั้งที่มีความคิดจะท้อ จะเลิกเราจะมีสองทางเลือกเสมอนั่นคือ ทำต่อ หรือว่า เลิกทำซึ่งในกลุ่มก็พยายามขับเคลื่อนต่อไปให้ได้ ไม่ยอมแพ้และมองเห็นจุดหมาย

ถาม: มีตัวอย่างที่สำเร็จในงาน Echelon บ้างไหมครับ ?
ตอบ: 10 Q อันนี้ผมฟังไม่ชัดว่าใช่หรือเปล่า เป็น start up ทำ Mobile Security โดยตอนนี้ Mcafee ซื้อไปแล้วคงหลายตังค์อยู่แหละ ตัวอย่างในประเทศไทยก็พี่ไผทจาก Builk.com เนี้ยแหละ

ถาม: มีคำแนะนำอะไรให้กับ Start up ไทยบ้าง ?
ตอบ: หาคนที่เหมาะสมกับเรา ให้ลองไปที่ Linkedin ถ้าคุณยังไม่สร้าง Account  ก็สร้างซะเลย และเกือบทุกคนที่เป็นวิทยากรนั้นยังคงเน้นย้ำว่า ภาษาอังกฤษโครตสำคัญ  ให้เราหัดอ่านเนื้อหาอย่างอื่นบ้างไม่ใช่จะอ่านแต่ Tech กันอย่างเดียว ให้ดูความเปลี่ยนแปลงรอบตัวเราด้วย

มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ แต่ ! … ความมุ่งมั่นกับความดื้อที่จะทำมันมีเส้นบางๆอยู่ ฉะนั้นต้องหาคนมาช่วยตบความคิดเราด้วย

คุยกับพวก VC/Angel บ่อยๆจะได้ไอเดียในระดับใหญ่ และมองหา VC/Angel ที่เหมาะสมกับเราจริงๆ

หากใครอยากติดต่อเขาก็ได้ที่ [email protected] หรือ @gabtwitx

Gabriel กล่าวถึง e27
Gabriel กล่าวถึง e27

ช่วงต่อไปนั้นเป็นช่วงสุดท้ายซึ่งต้องแยกห้องกันให้เลือกระหว่าง 2 หัวข้อคือ

  • ทิศทาง startup ไทย ทำอย่างไรให้เติบโต? (Moderator : @jakrapong)
  • Business Model Startup แบบไหนถึงเวิร์ค? (Moderator : @charathbank)

ซึ่งผมเลือกหัวข้อ Buusiness Model Startup แบบไหนถึงเวิร์คครับส่วนตัวคิดว่าหัวข้อแรกน่าจะเป็นคนที่ได้เริ่ม Start up ไปบ้างแล้วจึงคิดว่าหาไอเดียน่าจะเหมาะกว่า และได้เจอ @dominixz มานั่งคุยกันในห้องนี้ด้วย แต่อีกหัวข้อก็น่าเสียดายไว้ถ้ามีคนเขียนถึงหัวข้อนี้ผมจะมาแชร์ให้อ่านนะครับ ; )

ช่วงที่ 4 Business Model Startup แบบไหนถึงเวิร์ค ? โดย @charathbank

@charathbank พี่ไผทจาก Builk.com
@charathbank พี่ไผทจาก Builk.com

จริงๆมีวิทยากรอีกคนคือ พี่ไผทหรือพี่โบ๊ทเจ้าเดิมมาร่วมแจมด้วยอีกคน โดยหัวข้อนี้จะเป็นการ sharing Idea กันโดยใครมีไอเดียอะไรก็นำเสนอกันเต็มที่ พี่แบงค์ ( @charathbank ) บอกว่าไม่ต้องกลัวคน copy เพราะว่าถึงทำเสร็จแหม่งก็มีคน copy อยู่ดี ( ฮา ) หัวข้อที่พี่แบงค์เตรียมมานั้นมีตัวอย่างของ Business Model ให้ดู 5 ตัว เดี๋ยวผมจะไล่ให้ดูนะครับ และก็แนะนำเกี่ยวกับเรื่อง Good Business Model ว่าส่วนใหญ่ Dev ไม่ค่อยจะคิดกันเท่าไร ( ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ ) สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ

  • Clear ว่าเราจะขายใคร อะไร เท่าไร อย่างไร
  • Correct and reusable คิดมาแล้วต้องใช้ได้จริงและสมเหตุสมผล
  • คิดถึงภาพรวมมุมมองด้าน User เพราะเวลาเราคิดอะไรชอบคิดเข้าข้างตัวเอง ให้ถามคนใช้ ถามคนอื่นบาง คุณจะขายเขาคุณก็ควรจะรู้จากเขาบอกว่าต้องการอะไร แต่ … ไม่ใช่ทั้งหมด
  • Innovation สิ่งที่พัฒนามาจะเกิดขึ้นได้จริงๆใช่หรือไม่
บรรยากาศในห้องเรียน hubba
บรรยากาศในห้องเรียน hubba

ส่วนตัวอย่าง Business Model นั้นมีอยู่ 5 ตัวคือ

  1. Brick to Click พูดง่ายๆคือเปลี่ยนจาก offline สู่ online อะไรที่มันเป็น manual ก็จัดมาทำแบบ click ซะ
  2. Information Delivery คือ การส่ง Content ทุกอย่างให้ถึงมือเร็วๆ ทำอย่างไรให้ Content มีมูลค่าขายได้
  3. Online Shopping / Auction Business Model คือ พวกแนวๆให้ข้อมูล shopping ที่ไหนถูกที่สุดในวันนี้ วันข้างหน้ามีอะไร Sale ข่าวสารโปรโมชั่น
  4. Subscription Business Model แนวเก็บรายเดือน สมัครสมาชิกแล้วก็เก็บรายเดือน ใช้โปรแกรมนี้แล้วเก็บรายเดือน
  5. Razor and Blade Business Model ตรงๆก็คือให้มีดโกนกับคนไปก่อนวันหนึ่งถ้ามีดโกนไม่คมหรือเสีย เขาก็ต้องมาซื้อเราอีก แนวให้ของก่อนเก็บเงินทีหลัง

อันสุดท้ายจะคล้ายๆกับ Freemium แต่ไม่เหมือน Freemium นั้นจะเป็นการให้ฟรีเลยแต่ไปเก็บค่าบริการอย่างอื่นเช่น ให้ iphone ไปเลยและคุณมาใช้ Data ของเรานะประมาณนั้น

มีคนถามว่า: ถ้าสิ่งที่เราคิดหรือโปรเจคของเรานั้นมันยังไม่ถึงเวลาของมัน เราควรจะทำอย่างไรดี ?
พี่ไผท: ก็ต้องหาเงินมาเป็น run way ไปเรื่อยๆ แล้วพี่เขาก็ยกตัวอย่างมาว่าที่เมืองนอก มีบางโปรเจคยังขอเงินมาหลายปีแหละ ยังมีเลย ส่วนมันจะมีเรื่อง Moment ที่จะทำต่อไม่ทำต่อด้วย เขาได้เล่าต่อว่า …

ก่อนจะมาทำ Builk.com นั้นเขาได้ทำ ERP มาก่อน ตอนแรกกะไว้ว่าจะขายแค่  5 – 6 หมื่น แต่ก็เจอปัญหาเจอเช่น แก้ไขยาก bug เยอะ ขายยาก ตอนแรกกะว่าจะลงทุน 1 ล้านบาท ไปๆมาๆเสียไป 2 ล้านบาทซะงั้น

@charathbank พี่ไผท builk.com
@charathbank พี่ไผท builk.com

ตอนแรกกะว่าจะทำ Builk.com เป็น subscription แต่เจอศพโปรแกรมบัญชี online ซะก่อนเลยไม่กล้าทำ ( ศพ ในที่นี้หมายถึงโปรแกรมที่มันขายไม่ออกแล้ว เจ๊ง ! ) ซึ่งมันมีเยอะมากๆ ขนาดแผนแรกที่เขาคิดแล้วไปชนะที่จุฬาด้วยนะเออ ! พี่เขายังไม่ใช้เลยและหันมาให้ใช้ FREE !!! เพราะเขาบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง และตอนนั้นเพิ่งมารู้จัก Page View ซึ่งทำงานเสร็จหมดแล้ว ไม่ทราบว่าต้องใช้ด้วยและเพิ่งทราบว่าเป็นเรื่องสำคัญ แต่พี่เขาก็ไม่ได้ขายกันที่ Page View เขาไปขายอย่างอื่น … นั่นคือ

User usage time เวลาที่เขาใช้กับหน้าเว็บของเขา ( ซึ่งตรงจุดนี้ผมประทับใจมาก การที่คนเราอยู่จะมีแนวคิดอย่างอื่นจากกรอบที่ตัวเองคิดเนี้ยมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ ) ซึ่งใช้เวลาเฉลี่ยถึง 33 นาที อย่างเว็บผม อยู่ถึง 10 วิหรือเปล่ายังไม่รู้เลยแต่เฮียแกเคลมตรงนี้ได้ ซึ่งเขาบอกว่า เราอย่างคิดจะวิ่งนำหน้ากับคนที่วิ่งนำหน้าเร็วที่สุด แต่ให้คิดว่าบางทีเราอาจจะเป็นคนที่วิ่งถอยหลังเร็วที่สุด ( ก็เป็นด้ายยยยยย ) ชอบมาก ไอเดียนี้

มีคนแชร์ไอเดียว่า: เพื่อนของเขานั้นทำเว็บซื้อขายถุงยางก่อนที่รัฐบาลจะรณรงค์ ซึ่งดันมีคนยอมซื้อแค่ 1 อันราคา 10 บาทแต่ค่าส่ง 50 บาท ( เอ่อ คิดดูสิว่าทำไม ? )

พี่ไผทบอกต่อว่าให้เอาโลกของคนอื่น ( ในที่นี้หมายถึงว่ามีคนอื่นทำงานอย่างอื่น พี่ไผทแกเคยไปเรียนรู้พวกเครื่องสำอางค์ด้วยนะเออ ! ) มาใส่โลกที่เราถนัดบ้าง เราอาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ มา และจะนำมาซึ่งลูกค้าหลายๆประเภทเช่นกัน

พี่ไผท
พี่ไผท

มีคนแชร์ว่า: มีเว็บที่ทำใช้คูปองมาเป็นกองกลางแล้วให้ช่วยกันซื้อสินค้าตัวหนึ่งมาเช่น มีสินค้าอยู่ตัวหนึ่งบอกว่าจะซื้อตัวนี้ต้องมีคนซื้อคูปองเท่านี้นะแล้วจะสั่งทำ อะไรทำนองเนี้ย

พี่ไผทบอกต่อว่า เราไม่ได้ทำ App ไปขายแต่เราทำ Business Model ไปขาย มองหาโอกาสใหม่ๆ ตลาดใหม่ๆ สนใจเหตุการณ์รอบตัวบ้าง

มีคนแชร์ว่า: เคยเห็น game online ที่เปิดให้เล่นฟรีด้วย โดยเอารายชื่อข้อมูลของคนเล่นไปซื้อหรือว่า ไปใช้ต่ออีกที ( เอ่อ เข้าท่าแต่ว่าจะไม่ถูกฟ้องหรือเปล่าไม่รู้แฮะ )

พี่ไผทบอกว่าบางโปรเจคคิดว่าเราขายได้ แต่จริงๆแหม่งขายไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปถามคนที่เราจะขายจริง ( เน้นกันอีกที ) ต้องมี Trick ในการนำเสนองาน อย่าง Builk.com ตอนแรกก็ไปของบ CSR เอ่อ เอากับเขาสิ ต่อมากินงบ Marketing

ต่อมามีคนเสนอไอเดียที่ผมคิดว่าเจ๋งมาก แต่บอกไม่ได้จริงๆ ถือว่าเป็นกำไรชนิดที่ว่าคนไปฟังเท่านั้นถึงจะได้จุดตรงนี้ อิอิ ซึ่งสรุปมาได้จากสิ่งนั้นคือ ไอเดีย + timing + มุมต่าง และที่สำคัญคือ ต้อง …

ลงมือทำ !!!!!

ไม่มี Dev ก็หาก็จ้างซะไม่ใช่ว่าจะรอให้ใครมาทำให้ มีความคิดใครก็พูดได้แต่ลงมือทำ มันคือของจริงครับ ทำมันขึ้นมาให้ได้

บรรยากาศคลาส
บรรยากาศคลาส

ก่อนจะจบบทความนี้ ผมก็อยากบอกว่า ใครที่อยากทำ Start up นั้นไม่ใช่ของง่ายหรือยาก มันอยู่ที่ว่าจะลงมือทำเมื่อไหร่ มีความมุ่งมั่นมากแค่ไหน ไม่ใช่ว่าทำแล้วจะรีบออกขายได้แล้วพอ เพราะว่าถ้าคุณก้าวไปถึงจุดที่ขายได้จริงๆ คุณเลิกไม่ได้หรอก แล้ววันนี้ ตอนนี้ ณ วินาทีนี้คุณคิดอะไรอยู่ อยากทำอะไรไหม ? เริ่มลงมือทำมันหรือยัง ? มีไอเดียแล้วก็หาเพื่อนคุยเลยสิ อย่ารอช้า อย่าคิดว่าไม่ดี ถ้าคุณยังไม่ได้คุยกับคนอื่น เอาล่ะผมเองก็คงต้องเริ่มทำบ้างแล้ว ไปงานนี้ไม่เสียหลายจริงๆ ได้ไฟกับมาพร้อมกับอีก 1 โปรเจคด้วย ถือว่าโชคดีจริงๆ

The End @joyz @jarkapong and me ( @oxygenyoyo )
The End @joyz @jarkapong and me ( @oxygenyoyo )

Credit:

  • ขอบคุณรูปสวยๆจาก @kktp ติดตามเขาได้เลยที่ http://facebook.com/ktpphoto ด้วยนะครับที่อนุญาตให้ผมเอามาเติมแต่งบล็อก เพราะผมเองคงไม่สามารถถ่ายรูปสวยๆอย่างนี้ได้เลย
  • ขอบคุณ Hubba สำหรับสถานที่ดีๆ ที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ห้องเรียน ห้องประชุมที่น่าใช้ไปหมด
  • ที่สำคัญต้องขอบคุณ Thumbsup ครับที่ทำให้เกิดงานดีๆอย่างนี้ขึ้น และหวังว่าครั้งต่อๆไปผมจะได้มีโอกาสไปร่วมงานอีกครับ

Credit

  • ขอบคุณ thumbsup สำหรับข้อมูล
  • ขอบคุณ Hubba Thailand สำหรับรูปภาพ
Loading

เป็นโปรแกรมเมอร์ที่ตามหาคุณค่าของชีวิตและความฝันในวัยเด็ก ชอบเล่นเกม เรียนรู้ทุกอย่าง ชอบเจอคนใหม่ๆ งานสังคมทุกชนิด ออกกำลังกายในวันว่าง อ่านหนังสือ มีเว็บรีวิวหนังสือด้วย www.readraide.in.th